Ads (728x90)



กลายเป็นประเด็นที่ได้รับการแชร์ในโซเชียลมีเดียอย่างล้นหลาม กับกรณีของ พลทหาร วุฒิปริญญาโท นายวิเชียร เผือกสม
         นายวิเชียร เผือกสม เกิดและมีภูมิลำเนาอยู่ที่ เมืองหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา เมื่อศึกษาถึงชั้นมัธยมปีที่ 6 ตัดสินใจแสวงหาทางธรรมโดยการบวชเรียนเป็นพระภิกษุสงฆ์ ต่อมาได้ศึกษา ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้รับเกียรตินิยมอับดับหนึ่ง คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชา ศาสนา และศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขา สังคมศาสตร์ คณะพัฒนาชุมชนมหาบัณฑิต เมื่อบวชเรียนเป็นเวลาถึง 8ปี จึงกล่าวลาสึกกับพระอาจารย์ผู้อุปสมบท ขอไปรับใช้ชาติ ทั้งที่อยู่ในสถานะพระภิกษุสามารถศึกษาต่อเพื่อผ่อนปรนได้ แต่ด้วยใจอาสา ที่มีต่อชาติ นาย วิเชียร จึงได้ขอสมัครเป็นพลทหารไปประจำอยู่ที่พื้นที่เสี่ยง ในจังหวัดนราธิวาส โดยประจำการที่ หน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในสังกัด ร.151 พัน 3 ตั้งอยู่ในอำเภอเจาะไอร้องจังหวัดนราธิวาส
วันที่ 1 เมษายน 2554 จุดเริ่มต้นของคำว่ารับใช้ชาติ ที่ได้มาเพียง 2 เดือนเศษเท่านั้น เพราะนั้นคือความตั้งใจสุดท้ายของชีวิต ของนายวิเชียร เผือกสม 

พลทหาร ป.โทถูกซ้อมจนตาย ดีกรีธรรมศาสตร์ อันดับ 1แห่งเกียรติ์นิยม
เช้าวันที่ 5 มิถุนายน 2554 แม่ของนาย วิเชียร เผือกสม ได้รับโทรศัพท์จากทาง โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ว่าลูกชายของตนมีอาการโคม่า กำลังรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ให้รีบมาหา เพราะนายวิเชียรได้สั่งเสียกับหมอผู้ดูแลอาการไว้  ผู้เป็นแม่ทั้งตกใจและก็งง ด้วยความสงสัยจึงโทรศัพท์ไปสอบถามที่ ค่ายทหารที่ลูกชายตนเองฝึกอยู่ แต่ทางค่ายกลับให้การว่า "พลทหารวิเชียร ฝึกอยู่ สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด " ถึงได้ยินเช่นนั้นคนเป็นแม่ก็ยังไม่สบายใจ รีบเดินทางไปให้ถึง โรงพยาบาล และเมื่อเห็นลูกชายของตนที่นอนนิ่งอยู่ถึงกับจำไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายเขียวม่วงไปทั้งตัว มีแผลฟกช้ำ มีรอยไหม้ ตัวบวมอย่างมาก ไม่เหลือสภาพภิกษุหนุ่มที่สดใสอยู่เลย ดูใจได้ไม่นาน เวลา 5 ทุ่มกว่าของคืนดังกล่าว แม่และครอบครัวก็ต้องรับร่างที่ไร้วิญญาณของ ชายที่อยากจะรับใช้ชาติ กลับสู่มาตุภูมิ จังหวัดสงขลา ทั้งน้ำตาและความคาใจ


  จากการชันสูตรพลิกศพ แพทย์ลงความเห็นว่า ถูกกระแทกด้วยของแข็งจน ฟันหัก ซี่โครงเดาะ ร่างกายมีบาดแผลฟกช้ำ เหมือนถูกกดทับ เหมือนถูกทุบตีด้วยของแข็ง จนทำให้มีอาการไตวายเฉียบพลัน  ทางญาติได้ตั้งบำเพ็ญกุศลศพเป็นเวลาถึง 15 วันเพื่อรอคำตอบจากต้นสังกัดว่าเกิดอะไรขึ้น และ จะมีบทลงโทษต่อผู้กระทำผิดอย่างไร แต่ทาง ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในสังกัด ร.151 พัน 3 กลับยื่นข้อเสนอว่า จะให้เงินเยียวยา 5 แสนบาท และให้ธงชาติคลุมศพ รวมถึงขอไฟพระราชทานเพลิงศพ แต่ทางครอบครัวขอไม่รับ และดำเนินคดีทางเพ่งและอาญาต่อไป  
จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้กระทำผิด ประจำการอยู่ใน ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในสังกัด ร.151 พัน 3 มีทั้งหมด 10 นาย มียศ ร้อยโท ร้อยตรี จ่าสิบเอก สิบโท ผู้ช่วยครูฝึก และพลทหาร 5 นาย โดยผู้ทำร้ายร่างกายเบื้องต้นให้การเพียงว่า พลทหารวิเชียร เผือกสม หนีออกจากค่ายทหาร ถึง2 ครั้ง อาจด้วยเหตุที่ไม่เคยชินกับการฝึกที่หนัก จึงลงโทษเพื่อจัดระเบียบวินัยด้วยการตบหน้า 2 ที ให้กินพริกสด และ ใส่กางเกงในตัวเดียว แต่เมื่อทบทวนการสอบสวนในเชิงลึกจึงทราบความจริงว่า มีการใช้รองเท้าคอมแบทกระทืบ จับถอดเสื้อผ้า เอาไม้ไผ่แซ่ฟาด จนไม้หักไป3ทอน  มีการลากกับพื้นปูนจนมีแผลถลอกแล้วเอาเกลือทา เป็นการสั่งโดยให้พลทหารที่ไม่ใช่ครูฝึกทำต่อเพื่อนทหารด้วยกัน นายทหารยศร้อยโทที่เห็นเหตุการณ์กลับบอกว่าให้ทำไปทำที่อื่น อย่างเสียงดัง บทลงโทษปัจจุบันต่อทหารทั้ง 10 นายเป็นเพียงการพักราชการเท่านั้น แต่ร้อยโทคนดังกล่าวยังปฏิบัติหน้าที่ทางราชการอยู่ โดนได้รับความผิดในข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
จนเวลาได้ล่วงมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของรัฐได้ชี้มูลความผิด ให้ชดใช้ความเสียหายเป็นคดีทางเพ่ง และส่งฟ้องเป็นคดีอาญา ทางครอบครัวได้รับค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 7,049,400 บาท หลังได้เรียกค่าเสียหายไปเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทแล้วมีการไกล่เกลี่ย แต่ทางครอบครัวยังเร่งหาความยุติธรรมโดยได้ทำหนังสือร้องเรียน ปรึกใหญ่ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เว้นแม้กระทั่ง กระทรวงกลาโหม และ กองทัพบก แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด จึงอยากใช้พลังโซเชียลในการกระจายเรื่องนี้ไปให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้เห็น 
ด้าน พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้นได้ยืนยันว่า มีการซ้อมพลทหารเกิดขึ้นจริง แต่โดยหลักแล้วการฝึกทหารไม่สามารถทำเกินกว่าเหตุได้ขนาดนั้น ทหารจะฝึกและดูแลกันอย่างคนในครอบครัว เป็นพี่เป็นน้อง แต่ยอมรับว่าอาจจะมีส่วนเลวเล็งรอดไปบ้างแต่ไม่อยากให้มองเป็นว่าเลวทั้งองค์กร ทุกที่มีทั้งคนดีทั้งไม่ดี ส่วนที่ต้นสังกัดไม่บอกความจริงว่า พลทหารวิเชียรอยู่ที่ โรงพยาบาล น่าจะเป็นการปกปิดที่ตัวบุคคล หน่วยงานไม่มีส่วนรู้เห็น อยากขอความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย เพราะทางต้นสังกัดก็ได้ให้การเยียวยา ดูแลตามขั้นตอนไปแล้ว ส่วนเรื่องคดี4ปียังไม่มีความคืบหน้า คงเป็นไปในกรอบกฏหมาย เร่งอะไรไม่ได้ ยืนยันทหารไม่มีอภิสิทธิ์แต่อย่างใด  และการฝึกพลทหาร มีเหมือนกันทั่วประเทศ อย่างให้ญาติเข้าใจ เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องมีความอดทน หากพลทหารโดนกระทำเกินกว่าเหตุ ให้ไป ฟ้องผู้หมวด ผู้พัน ผู้กอง หรือสื่อมวลชนก็ได้ 
สุดท้าย ทางญาติอยากขอให้กรณีนี้เป็นคดีตัวอย่าง อยากให้คนในกองทัพผู้หลักผู้ใหญ่หันมาดูแลทหารเกณฑ์บ้าง ควรฝึกครูฝึกไม่ให้ใช้อารมณ์ในการอบรม และควรมีผู้มีตำแหน่งที่สูงกว่าคอยตรวจตราดูแล ความปลอดภัยให้พลทหาร อยากให้การฝึกทหารมีรูปธรรมมากกว่านี้  ฝากอย่านำพฤติกรรมรุนแรงมาลงที่ทหารเกณฑ์ ควรใส่ใจกำลังพลของชาติ เพราะไม่อยากให้ลูกให้หลานของตนในภายหน้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก น้อมรับคำตัดสินของศาล และมองว่าเป็นที่ตัวผู้กระทำ ไม่อยากให้ใช้ภาษีประชาชนมาชดใช้ ตนยังรักและศรัทธากองทัพเสมอ แต่ถ้าคนในกองทัพผิดแล้วไม่เร่งดำเนินคดี กองทัพก็จะมีแต่เสีย
ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า เงิน 7ล้านบาทไม่สามารถแทนคนในครอบครัวได้ ชีวิตใครเงินก็ซื้อไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะจบ ป.6 หรือปริญญาโท  อยากให้กองทัพทบทวนไม่อยากให้ลูกตน หลานตน ในอนาคต ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://pantip.com/topic/34382712
ที่มา:http://www.siamupdate.com/news-182119

Post a Comment